วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การจัดองค์การสำหรับการจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์


การที่องค์กรต่างๆ จะสามารถปฏิบัติภารกิจด้านการจัดการบุคลากร/ทรัพยากรมนุษย์ทั้งห้าด้านดังกล่าวมาข้างต้นได้ องค์การเหล่านั้นจำเป็นต้องมีหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่จะปฏิบัติภารกิจเหล่านั้นโดยทั่วไปแล้ว องค์การที่มีขนาดใหญ่จะมีการจัดตั้งแผนกหรือฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เพื่อทำหน้าที่นี้โดยตรง
การที่หน่วยงานด้านการจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์จะมีการจัดองค์การอย่างไรและควรจะมีจำนวนเจ้าหน้าที่มากน้อยเพียงไรนั้น ขึ้นอยู่กับความจำเป็นขององค์การในการปฏิบัติภารกิจนี้ดังจะเห็นจากในภาพว่า ยิ่งองค์การมีขนาดใหญ่และมีจำนวนพนักงานมากขึ้นเท่าใด ก็ย่อมมีภารกิจด้านการจัดการบุคลากรหรือทรัพย์ยากรมนุษย์จะมีการจัดองค์การอย่างไร และควรจะมีจำนวนเจ้าหน้าที่มากน้อยเพียงไรนั้นขึ้นอยู่กับความจำเป็นขององค์การในการปฏิบัติภารกิจนี้ ดังจะเห็นว่ายิ่งองค์การมีขนาดใหญ่และมีจำนวนพนักงานมากขึ้นเท่าใด ก็ย่อมมีภารกิจด้านการจัดการบุคลากร/ทรัพยากรมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น องค์กรแต่ละแห่งจึงต้องพิจาณาถึงความเหมาะสมในการจัดองค์การโดยมิต้องเลียนแบบองค์การอื่นๆแต่อย่างใด

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการบุคลากร


การจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรให้ประสบความสำเร็จและส่งผลให้องค์การโดยรวมสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการมีแนวคิดหรือมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการบุคลากร ซึ่งในที่นี้จะเสนอแนวคิดที่องค์การควรจะยึดถือดังต่อไปนี้คือ
1. การเน้นคุณค่าของบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ ผู้บริหารองค์การจะต้องมีความเชื่อว่าบุคลากรขององค์กรคือทรัพยากรอันมีค่าที่ต้องรักษา สนับสนุน ส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นผู้ที่ช่วยผลักดันองค์การไปสู่เป้าหมาย องค์การจะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความต้องการนของลุคลากรไม่ปฏิบัติต่อบุคลากรเฉกเช่นวัตถุ
2. การมีส่วนร่วมของฝ่ายบริหาร องค์การจะต้องยึดถือว่าการจัดการบุคลากร/ทรัพยากรมนุษย์เป็นภาระหน้าที่นของหัวหน้างานและผู้บริหารทุกคน มิใช่งานขนองฝ่ายทรัพยากรมนุษย์แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่จะต้องเป็นภารกิจร่วมของทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายทรัพยากรมนุษย์
3. เน้นการทำงานเชิงรุก การจัดการบุคลากร/ทรัพยากรมนุษย์จะต้องมีวิสัยทัศน์ สามารถคาดการณ์ปัญหาได้ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ไม่ปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงแก้ไข
4. เน้นแนวคิดแบบระบบ ผู้บริหารองค์การจะต้องตระหนักว่าการจัดการบุคลากร/ทรัพยากรมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่ (องค์การ) และมีความสัมพันธ์อย่างแบบแน่นกับระบบอื่นๆ ขององค์การ รวมทั้งได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมภายนอกด้วย ดังนั้นจึงไม่อาจนจะดำเนินการไปโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์การ
นอกจากแนวคิดที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว คอนเนอร์และอัลริช ได้เสนอว่าผู้บริหารงานด้านการจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ยังควรปรับเปลี่ยนตนเองจากการทำงานตามบทบาทเดิมที่เน้นการทำงานเชิงธุรการ หรือเป็นผู้สนองให้บริการและความช่วยเหลือพนักงานโดยบทบาทใหม่ของนักบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องเน้นการเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์และผู้นำความเปลี่ยนแปลงให้มากขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การ (ต่อ)

9. การจูงใจผู้ที่มีความสามารถจากหน่วยงานอื่น ปัจจุบันการขาดแคลนแรงงานในบางสาขาอาชีพ หรือตำแหน่ง เช่น แรงงานมีฝีมือ วิศวกร นักการเงิน นักสารสนเทศ นักบริหาร อาจารย์มหาวิทยาลัย ส่งผลให้หลายหน่วยงานใช้วิธีการสรรหาบุคลากรโดยการดึงตัวบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์มาจากหน่วยงานอื่นเพื่อเข้ามาร่วมงานหรือที่เรียกว่าการซื้อตัว เนื่องจากวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ได้ผลรวดเร็วในทางปฏิบัติ แต่วิธีการนี้ส่งผลเสียแก่ตลาดแรงงาน บุคลากร และองค์การในหลายด้าน เช่น ก่อให้เกิดการแย่งชิงแรงงานอย่างรุนแรงในบางอุตสาหกรรมส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นเกินความจำเป็น นอกจากนี้อาจทำให้บุคลากรขาดความสามารถในการปฏิบัติงานที่แท้จริง เนื่องจากการเปลี่ยนงานที่บ่อยครั้งจนเกินไป หรือที่เรียกว่า “การกระโดดงาน (Job Hopper)” ส่งผลให้บุคคลมิได้เรียนรู้งานอย่างเต็มที่ เป็นต้น
10. การจ้างงานชั่วคราว งานบางประเภทหรือบางตำแหน่งองค์การอาจทำการสรรหาบุคคลเพื่อเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจนกระทั่งงานสำเร็จ หรือทำการต่อสัญญาตามข้อกำหนดของระยะเวลาที่ตกลงกัน เนื่องจากวิธีการนี้จะทำให้องค์การไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสรรหา การคัดเลือก ค่าจ้างแรงงาน และค่าสวัสดิการ ในอัตราที่ใช้สำหรับการจ้างงานปกติ
11. วิธีการอื่น นอกจากวิธีการสรรหาที่กล่าวมาแล้ว ปัจจุบันองค์การอาจทำการสรรหาบุคลากรได้จากแหล่งต่าง ๆ นอกเหนือจากที่เคยปฏิบัติในอดีต เช่น แรงงานจากต่างประเทศ การจ้างบริษัทรับเหมา การรับนักศึกษาฝึกงาน เป็นต้น ซึ่งองค์การสามารถนำแรงงานในบางระดับมาใช้งานได้ตามที่ต้องการ ตลอดจนไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายในการธำรงรักษาพัฒนาและสวัสดิการของบุคลากรในระยะยาว
เนื่องจากปัจจุบันองค์การสามารถสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การได้จากหลายแหล่ง ดังนั้นผู้มีหน้าที่ในการสรรหาบุคลากรจะต้องทำการศึกษาและติดตามข้อมูล พิจารณสถานการณ์ด้างแรงงาน ปัจจัยแวดล้อมภายนอกองค์การ ข้อกำหนดขององค์การ ค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนข้อดีและข้อเสียของการจ้างงานแต่ละประเภท เพื่อให้สามารถดำเนินการสรรหาบุคคลากรตามที่องค์การต้องการได้อย่างเหมาะสม

วิธีการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การ


การสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การเป็นวิธีการที่หลายองค์การนำมาใช้ในการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ ความสามรถ ทัศนคติ และประสบการณ์ที่เหมาะสมเข้าร่วมงาน เพื่อก่อให้เกิดความหลากหลายและมุมมองที่แตกต่างในการปฏิบัติงาน ตลอดจนสามารถหาบุคลากรที่มีความเหมาะสมในปริมาณที่เพียงพอให้แก่องค์การได้ แต่เนื่องจากแหล่งที่มาของบุคลากรจากภายนอกองค์การมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน ตลอดจนงานแต่ละชนิดจะมีความต้องการบุคลากรที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลถึงวิธีการในการสรรหาบุคลากร ดังนั้นการดำเนินการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การจะต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในการดำเนินงาน เพื่อให้การสรรหาสามารถดึงดูดกลุ่มบุคคลที่องค์การต้องการให้มีความสนใจที่จะเข้ามาร่วมงานได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ โดยการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การสามารถกระทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
1. คำแนะนำจากบุคลากรปัจจุบัน การสรรหาบุคลากรโดยวิธีนี้ถูกนำมาใช้เมื่อองค์การมีความต้องการบุคลากรใหม่ในปริมาณที่ไม่มาก และมีความประสงค์ที่จะประกาศรับสมัครโดยตรงต่อสาธารณะ การสรรหาบุคลากรจะอาศัยคำแนะนำจากบุคลากรที่ปฏิบัติงานอยู่กับองค์การ เนื่องจากผู้แนะนำจะมีความคุ้นเคยและมีข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับผู้ถูกแนะนำ นอกจากนี้การที่บุคลากรตัดสินใจแนะนำแก่ผู้ใดย่อมต้องมีความมั่นใจในความเหมาะสมของผู้ถูกแนะนำอยู่ในระดับหนึ่ง แต่วิธีการนี้มีข้อเสียอยู่ที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาการใช้เส้นสายและการแบ่งพรรคแบ่งพวกขึ้นภายในองค์การ
2. บุคคลที่เคยปฏิบัติงานกับองค์การ วิธีนี้องค์การสามารถจูงใจให้บุคคลที่มีความสามารถเหมาะสมที่เคยร่วมงานกับองค์การในอดีต แต่ออกงานไปด้วยเหตุผลบางประการที่มิใช่ความผิดหรือความขัดแย้ง เช่น บุคลากรอาจลาออกจากงานเพื่อไปทำการศึกษาต่อ เลี้ยงดูบุตร หรือย้ายที่อยู่อาศัยชั่วคราว เป็นต้น ให้สนใจที่จะเข้าร่วมงานกับองค์การอีกครั้ง วิธีการนี้องค์การจะมีข้อมูลของบุคคลดังกล่าวอยู่พอสมควร โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมในหารปฏิบัติงานคุณสมบัติส่วนตัว และการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นภายใต้วัฒนธรรมขององค์การ เพื่อใช้ในการพิจารณาประกอบการตัดสินใจว่าบุคคลมีความเหมาะสมกับตำแหน่งใหม่หรือไม่
3. บุคคลที่เดินเข้ามาสมัครงานกับองค์การ หรือที่เรียกว่า “Walk in” วิธีการนี้องค์การจะทำการสรรหาบุคลากรโดยพิจารณาบุคคลที่เข้ามาสมัครงานกับองค์การในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งทำให้องค์การสามารถติดต่อและเชิญชวนมารับการคัดเลือกได้ไม่ยากนัก เนื่องจากบุคคลเหล่านี้จะมีความสนใจที่จะร่วมงานกับองค์การในระดับหนึ่ง
4. ประกาศรับสมัคร วิธีการนี้องค์การสามารถสรรหาบุคลากรโดยประกาศผ่านทางสื่อสารมวลชน เช่นวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือปิดประกาศตามีที่สาธารณะ เพื่อดึงดูดที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นๆ ให้สนใจสมัครเข้ารับการคัดเลือกจากองค์การ
การตัดสินใจเลือกชนิดของสื่อเป็นปัจจัยสำคัญมนการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น การเขียนแผ่นป้ายโฆษณาหน้าโรงงานกับการโฆษณาลงบนหนังสือพิมพ์ธุรกิจ แม้แต่สื่อชนิดเดียวกันก็เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่นหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาจีน จะเข้าถึงผู้อ่านที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่สรรหาบุคลากรจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในสื่อแต่ละชนิด เพื่อให้สามารถเลือกใช้สื่อที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่องค์การต้องการตลอดจนมีข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์ที่จะให้เพื่อให้การดำเนินงานคุ้มกับค่าขิงเงินที่ลงทุนได้
5. สถาบันการศึกษา องค์การสามารถทำการสรรหาบุคลากรใหม่จากโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย หรือสถาบันฝึกอาชีพต่าง เนื่องจากปกติสถาบันการศึกษาเหล่านี้มีวัตถุประสงค์ในการผลิตบุคลากรในระดับต่างๆ เพื่อเข้าสู่กระแสแรงงานและรับใช้สังคม นอกจากนี้บุคคลกลุ่มนี้ยังมีความรู้และทักษะในงานตามที่องค์การต้องการ องค์การอาจทำการติดต่อโดยตรงกับสถานศึกษาโดยตั้งโต๊ะรับสมัครในงานตามที่องค์การต้องการ เพื่อทำการคัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมหรือใช้วิธีการอื่นในการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่กำลังศึกษามีความสนใจในองค์การและต้องการที่จะเข้าร่วมงานเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว เช่น การให้ทุนการศึกษา การส่งเสริมกิจกรรมของสถานศึกษา การจัดสัมมนา หรือการรณรงค์เพื่อสังคม เป็นต้น
6. สมาคมวิชาชีพ สมาคมวิชาชีพเป็นที่รวมตัวกันของบุคคลที่อยู่ในสาขาอาชีพเดียวกัน เช่น แพทย์ วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี ครู นักบิน เป็นต้น สมาคมวิชาชีพเป็นองค์การที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บุคคลที่ทำงานในสาขาอาชีพเดียวกันมาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ และปกป้องสิทธิของตน สมาคมวิชาชีพจะมีข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกทั้งในด้านการศึกษา ทักษะ ประสบการณ์ และความชำนาญพิเศษ ในกรณีที่องค์การมีความต้องการบุคลากรในแต่ละสาขาอาชีพ องค์การสามารถติดต่อขอความร่วมมือกับสมาคมวิชาชีพนั้นโดยตรงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับกลุ่มบุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการในแต่ละวิชาชีพโดยไม่เสียเวลามากนัก
7. องค์การด้านแรงงาน องค์การด้านแรงงานเป็นหน่วยงานที่รวบรวมบุคคลที่มีความคล้ายคลึงกันในการจ้างงานและปฏิบัติงาน เช่น สหภาพแรงงาน สมาพันธ์แรงงาน สมาคมแรงงาน เป็นต้น องค์การทางด้านแรงงานอาจเป็นองค์การเฉพาะของแรงงานในสาขาใดสาขาหนึ่ง หรือองค์การแรงงานที่มิได้จำกับคุณสมบัติของสมาชิกมากนัก องค์การทางด้านแรงงานจะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสมาชิก เช่น ประวัติส่วนตัว ประสบการณ์ ความถนัด และสภาวะการจ้างงาน ดังนั้นหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีความต้องการแรงงาน อาจที่จะขอความร่วมมือจากองค์การทางด้านแรงงานในการสรรหาบุคคลากรที่มีความเหมาะสมในบางตำแหน่ง
8. สำนักการจัดหางาน ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งหน่วยงานจัดหางานที่ทำหน้าที่ทั้งในภาครัฐบาลและเอกชน เพื่อทำหน้าที่ให้บริการจัดหางานให้แก่บุคคลและจัดหาแรงงานให้แก่องค์การต่าง ๆ โดยที่หน่วยงานเหล่านี้จะมีวิธีการปฏิบัติและการคิดค่าบริการที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้มีหน้าที่สรรหาบุคลากรจะต้องศึกษารายละเอียดของตำแหน่งงานที่องค์การมีความต้องการและข้อมูลของสำนักงานจัดหางานแต่ละแห่งเป็นอย่างดีก่อนที่จะทำการตัดสินใจ

ต่อ

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การสรรหาบุคลากรจากภายนอก


องค์การ จะทำการสรรหาบุคลากรที่มีความเหมาะสมจากภายนอกองค์การเพื่อเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ว่าง โดยการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การจะมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
ข้อดี ของการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การมีดังต่อไปนี้
1. การสร้างความหลากหลายในการวิเคราะห์ โอกาส การแก้ปัญหา และการพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ เนื่องจากองค์การรับบุคคลที่มีความรู้ ทักษะ และความสามารถในด้านต่าง ๆ จากภายนอกซึ่งบุคคลเหล่านี้จะทำให้องค์การมีมุมมองที่แตกต่างจากบุคลากรที่มีอยู่เดิมภายในองค์การ
2. สร้างโอกาสในการคัดเลือกบุคลากรที่มีความเหมาะสมในแต่ละหน้าที่งาน เนื่องจากองค์การสามารถสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ ทักษะ และความสามารถที่เหมาะสมกับงานได้จากภายนอกองค์การ
3. แก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนบุคลากรภายในองค์การทั้งในด้านของจำนวนและคุณสมบัติโดยองค์การสามารถทำการสรรหาบุคลากรจากภายนอกเพื่อเข้าร่วมงานกับองค์การได้ในปริมาณที่มากกว่าการสรรหาจากภายในองค์การ
ข้อเสีย ของการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การมีดังต่อไปนี้
1. สิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายในการเตรียมการขององค์การ เนื่องจากผู้มีหน้าที่สรรหาบุคลากรจะต้องศึกษา วางแผน และพยายามเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการโดยผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น การโฆษณา การประกาศรับสมัคร ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย เวลา และแรงงาน
2. มีผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของบุคลากร โดยเฉพาะในตำแหน่งบริหาร เนื่องจากทุกคนต่างก็ต้องการความก้าวหน้าในชีวิต ดังนั้นถ้าองค์การสรรหาและคัดเลือกบุคคลภายนอกเข้ามาดำรงตำแหน่งบริหาร โดยไม่สนับสนุนให้บุคลากรที่มีอยู่ได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง หรือพิจารณาความดีความชอบตามความเหมาะสม ก็อาจจะมีผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การได้
3. ไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศในการปฏิบัติงานขององค์การ เนื่องจากบุคลากรใหม่และบุคลากรเดิมขององค์การอาจมีความขัดแย้งทางความคิด บุคลิกภาพ ทัศนคติ หรือมีปัญหาในการประสานงาน ส่งผลให้การดำเนินงานขององค์การขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล

การสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การ

องค์การสามารถสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ขากภายในองค์การเพื่อเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ว่างลง หรือตำแหน่งที่เปิดขึ้นใหม่ โดยที่การสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การจะมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
ข้อดี ของการสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การมีดังต่อไปนี้
1. สร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานให้แก่พนักงาน การสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การจะเปิดโอกาสให้สมาชิกในองค์การได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งงานใหม่ ซึ่งทำให้บุคลากรสามารถแสดงความรู้ ความสามรถ และคามรับผิดชอบของตนตามงานที่ถนัด นอกจากนี้การที่บุคลากรได้เลื่อนตำแหน่งหรือปฏิบัติงานที่ตนต้องการ นอกจากจะสร้างความพอใจในงานแล้ว ยังมีผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานเพื่อความก้าวหน้าในอนาคตของตนอีกด้วย
2. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสรรหาบุคลากรขององค์การ ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนเป็นปัจจัยสำคัญที่องค์การจะต้องพิจารณาซึ่งในการสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การเป็นแหล่งที่มาของบุคลากรที่องค์การแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากแต่ละองค์การจะมีข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของสมาชิกแต่ละคน ตลอดจนสมาชิกแต่ละคนล้วนปฏิบัติงานอยู่ภายในองค์การ จึงไม่ต้องเสียเวลาที่จะค้นหาและจูงใจให้บุคลากรอยู่ร่วมงานกับหน่วยงาน
ข้อเสีย ของการสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การมีดังต่อไปนี้
1. ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์ในการประเมินโอกาส การแก้ปัญหา และการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ปกติเมื่อบุคคลอยู่ในสภาพแวดล้อมหนึ่งจะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเขา เพื่อให้เขาสามารถดำรงอยู่ในระบบได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นบุคลากรที่ปฏิบัติงานในองค์การย่อมจะได้รับการขัดเกลาให้เป็นส่วนหนึ่งขององค์การ โดยเขาได้ยอมรับบรรทัดฐานและแนวทางปฏิบัติของหน่วยงาน ตลอดจนปฏิบัติงานด้วยความเคยชิน จนบางครั้งอาจมองข้ามหรือมิได้สำนึกถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
2. ไม่สามารถสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสมเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่มีความต้องการบุคลากร เนื่องจากความจำกัดของจำนวนสมาชิกภายในองค์การ ส่งผลให้องค์การไม่สามารถสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เหมาะสมได้
3. ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรขึ้นภายในองค์การ เมื่อองค์การมีความต้องการในการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากองค์การมีข้อจำกัดทั้งทางด้านจำนวนและคุณสมบัติของสมาชิก ดังนั้นเมื่อองค์การขยายตัวอย่างรวดเร็ว จึงเป็นการยากที่จะสรรหาบุคลากรจากภายในมาปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละบุคคล อาจก่อให้เกิดความเครียดหรือความเมื่อยล้า ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของบุคลากรและองค์การลดลง

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การกำหนดนโยบายการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากร


การสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานกับองค์การเป็นงานที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการดำเนินงานขององค์การที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการดำเนินงานขององค์การเช่นเดียวกับกิจกรรมอื่น ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาสถานที่ตั้งองค์การ การจัดหาวัตถุดิบ การจัดหาเงินทุน หรือการเข้าถึงผู้บริโภค เพราะการจัดหาทรัพยากรมนุษย์เปรียบเสมือนเป็นก้าวแรกในความสำเร็จขององค์การ ดังนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านงานบุคลากรจะต้องทำการกำหนดนโยบายในการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะสามารถดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถครบถ้วนตามที่งานนั้นต้องการ ให้สนใจเข้าร่วมงานกับองค์การในปริมาณที่พอเหมาะ ตลอดจนทำการคัดเลือกบุคลากรอย่างมีหลักเกณฑ์และยุติธรรมเพื่อให้ได้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความเหมาะสมกับงานที่องค์การต้องการมากที่สุดเข้ามาร่วมงานกับองค์การ โดยปัจจัยที่สมควรพิจารณาในการกำหนดนโยบายด้านการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรมีดังต่อไปนี้
1. ค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ตอบแทน ปกติผู้มีหน้าที่สรรหาบุคลากรเข้าร่วมงานกับองค์การจะต้องพิจารณาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่องค์การต้องเสียไปกับผลประโยชน์ตอบแทนที่องค์การจะได้รับจากการจ้างงาน เนื่องจากการจ้างงานในแต่ละตำแหน่งจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายหลายด้าน เช่น ค่าใช้จ่ายในการสรรหา การคัดเลือก การฝึกอบรมบุคลากร ตลอดจนค่าจ้างและผลประโยชน์ตอบแทนที่ต้องจ่ายให้กับบุคคลที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ผู้ทำหน้าที่กำหนดนโยบายการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรจะต้องทำการตัดสินใจโดยยึดหลักการที่ว่า การที่องค์การจะตัดสินใจจ้างบุคลากรเข้าปฏิบัติงานในหน้าที่ใด บุคคลนั้นจะต้องให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่องค์การได้เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายและแรงพยายามที่องค์การใส่ลงไปในกระบวนการสรรหาการคัดเลือกและการพัฒนาบุคคลนั้น
2. แหล่งที่มาของบุคลากร ผู้มีหน้าที่สรรหาบุคลากรจะต้องพิจารณาตัดสินใจเลือกแหล่งที่มาในการสรรหาบุคลากรว่าต้องการสรรหาบุคลากรจากภายในหรือภายนอกองค์การ เนื่องจากแหล่งที่มาทั้งสองมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันตามที่จะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านคุณภาพและปริมาณของบุคลากรที่ต้องการกับแรงพยายาม เช่น ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาที่ต้องใช้ในการดำเนินงาน
3. ความยุติธรรม ผู้มีหน้าที่ในงานด้านบุคลากรจะต้องคำนึงถึงความยุติธรรมในการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากร เพราะปัจจัยนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลโดยตรงต่อการได้บุคลากรที่มีความเหมาะสมที่สุดในแต่ละตำแหน่งงานเข้าร่วมงานกับองค์การ แต่ยังเกี่ยวพันถึงภาพลักษณ์ขององค์การที่มีต่อสาธารณะอีกด้วย ถ้าองค์การทำหารสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรอย่างเปิดเผย บริสุทธิ์และยุติธรรม ก็จะมีส่วนในการกระตุ้นให้บุคคลภายนอกที่มีความรู้ ความสามารถ และศักยภาพในการพัฒนามีความสนใจที่จะเข้าร่วมงานกับองค์การ ในทางตรงกันข้าม ถ้าองค์การใช้ระบบเส้นสายในการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากร ก็จะส่งผลให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมแต่ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจคัดเลือกบุคลากรภายในองค์การไม่สนใจที่จะสมัครเข้ารับการคัดเลือก ซึ่งจะส่งผลให้องค์การเสียโอกาสในการได้บุคลากรที่มีความเหมาะสมเข้ามาร่วมงาน
นอกจากความยุติธรรมในกระบวนการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรจะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อความเป็นธรรมในการสรรหาบุคลากร เช่น กฎหมายและกฎข้อบังคับของรัฐ ข้อจำกัดทางสังคม เพศ การศึกษา อายุ เป็นต้น เพื่อให้การสรรหาบุคลากรบรรลุตามวัตถุประสงค์อย่างราบรื่นเป็นธรรม และมีอุปสรรคน้อยที่สุด
4. การเมืองภายในองค์การ การเมืองภายในองค์การเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากร เพราะเป็นปัจจัยที่ละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์การทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม เช่น
* ผู้สมัครบางคนอาจมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับฝ่ายบริหารหรือผู้มีอำนาจในการคัดเลือก ซึ่งอาจจะส่งผลให้กระบวนการคัดเลือกมีความไม่เป็นธรรม
* วิธีการสรรหาบุคลากรโดยอาศัยคำแนะนำของบุคลากรอาจจะก่อให้เกิดการสร้างอาณาจักรหรือการแบ่งพรรคแบ่งพวก ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานขององค์การได้
5. มาตรฐานในการคัดเลือกบุคลากรเข้าปฏิบัติงาน กระบวนการในการสรรหาและการคัดเลือกที่มีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ จะต้องสามรถคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ และความเหมาะสมที่จะปฏิบัติงานในตำแหน่งนั้น การกำหนดมาตรฐานในการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรนับเป็นปัจจัยที่สำคัญในการที่จะทำให้องค์การสามารถคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสมเข้าร่วมงานได้ตามต้องการ
โดยการกำหนดมาตรฐานอาจกระทำได้จากเกณฑ์ที่สำคัญบางประการ เช่นการศึกษา ประสบการณ์ ความถนัด อายุ เพศ เป็นต้น โดยเกณฑ์เหล่านี้จะต้องสอดคล้องและเหมาะสมกับงานแต่ละชนิด ตลอดจนเป็นมาตรฐานที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ในการคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสมจากบุคคลอื่นที่ขาดคุณสมบัติ นอกจากนี้ผู้ทำการกำหนดมาตรฐานในการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในงานอย่างเพียงพอ จึงจะสามารถกำหนดมาตรฐานที่จะคัดเลือกบุคลากรที่องค์การต้องการได้อย่างถูกต้อง

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กิจกรรมในการวางแผนบุคลากร


เมื่อองค์การคาดคะเนจำนวนและความต้องการทางด้านทรัพยากรบุคคลแล้ว การคาดคะเนนั้นจะถูกนำมาใช้ในการวางแผนและองค์การยังคงต้องดำเนินการในเรื่อ
อื่นที่เกี่ยวข้องด้วย กิจกรรมีที่สำคัญมีอยู่ 4 กิจกรรมคือ
1. การบรรจุบุคคลในตำแหน่งที่ว่าง นโยบายที่สำคัญในการบรรจุบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งที่ว่างลงมีอยู่ 2 อย่าง คือการบรรจุบุคคลจากภายในองค์การกับการบรรจุบุคคลจากภายนอกองค์การซึ่งนโยบายทั้งสองอย่างมีทั้งผลดีผลเสีย ในการบรรจุตำแหน่งว่างดังกล่าวนั้นหมายความว่าปริมาณการจ้างงานยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าปริมาณการจ้างงานลดลงองค์การก็จะต้องยุบตำแหน่งนั้น ผลของการยุบตำแหน่งจะกระทบต่อพนักงานในองค์การเป็นวงกว้างตลอกทั้งระบบ
2. การวางแผนในอาชีพ การวางแผนอาชีพเป็นวิธีการที่มีประโยชน์ต่อพนักงานที่ทำให้รู้ว่าหนทางของการทำงานในอาชีพของพนักงานแต่ละอาชีพจะมีรูปแบบอย่างไรอันกระทบต่อการเจริญก้าวหน้าในการดำรงตำแหน่ง แต่ละคนรู้ว่าตัวเองจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไรในอาชีพของตัว การวางแผนในอาชีพอาจแยกออกได้เป็น 4 ลักษณะ
2.1 งานบริหาร ทางเดินของผู้ดำรงตำแหน่งบริหาร กว้างไกลสุด เพราะสามารถดำรงตำแหน่งใดๆในองค์การได้
2.2 งานสำนักงานหรืองานธุรการ เป็นงานด้านเอกสารซึ่งสามารถก้าวได้มากที่สุดคือหัวหน้าสำนักงานหรือเลขานุการ
2.3 งานในโรงงาน เป็นงานประเภทต้องใช้แรงงานความก้าวหน้าในสายอาชีพคือหัวหน้าคนงาน
2.4 งานวิชาชีพและงานช่างฝีมือ ผู้ปฏิบัติงานประเภทนี้ ความก้าวหน้าในอาชีพวัดได้ด้วยความชำนาญในสายงานของตน อาจย้ายไปสู่งานบริหารได้หากมีความสามารถพอ
กิจกรรมสำคัญของการวางแผนในอาชีพมี 2 อย่าง คือ การวิเคราะห์ลักษณะอาชีพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพื่อให้รู้ว่า แต่ละอาชีพจะก้าวหน้าไปในสายอาชีพของตนอย่างไรกับการให้ความช่วยเหลือแนะนำในงานวิชาชีพแก่ผู้ต้องการซึ่งผลเสียของการตั้งผุ้ให้คำแนะนำในงานอาชีพก็คือ ทำให้พนักงานไม่นำปัญหาของตนไปปรึกษากับหัวหน้างานและจะนำเอาความไม่ดีของหัวหน้าของตนไปปรึกษาผู้ให้คำแนะนำในงานวิชาชีพอันมีผลกระทบต่องานบริหาร
กิจกรรมการให้คำปรึกษาแนะนำในอาชีพมีผลดี 2 ประการ คือ ประการแรก ทำให้รู้ว่าขณะนี้แต่ละอาชีพมีบุคคลใดที่พร้อมจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งหากมีตำแหน่งงานว่างลง หรือให้ความพร้อมที่จะเลื่อนตำแหน่ง แต่หากมีอุปสรรคบางอย่าง องค์การก็จะหาวิธีแก้ไขนั้น เช่น ขยายตำแหน่งหรือหาตำแหน่งเพิ่มเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียบุคคลนั้นที่อาจลาออกไปทำงานในองค์การอื่น ประการที่สอง อาจเกิดกรณีที่หัวหน้าของพนักงานคนนั้นไม่เห็นความสามารถของพนักงานของตนอันเนื่องมาจากพนักงานคนนั้นขาดโอกาสที่จะได้ใช้ความรู้ ความสามารถในการทำงานหรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น พนักงานบางคนไม่อยากเลื่อนตำแหน่งเพราะไม่ต้องการย้ายที่อยู่อาศัย ครอบครัวมีฐานะดีอยู่แล้ว
การให้คำปรึกษาแนะนำในงานอาชีพทำให้รู้ว่าพนักงานบางคนมีความรู้ความสามารถมากกว่าที่ได้รับรายงานจากหัวหน้างานโดยตรงของผู้นั้น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาว่าพนักงานคนนั้นหาทางโยกย้ายงานไปทำที่อื่นแต่ยังไม่มีโอกาสจึงยังคงอยู่ในองค์การ
3. ระบบเปิดระบบปิดในการเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่งควรใช้ระบบเปิดในการคัดเลือกคนคือให้ทุกคนมีโอกาสได้รบการพิจารณา ไม่ใช่พิจารณาแต่เฉพาะบุคคลที่ทำงานอยู่ในส่วนงานนั้นเท่านั้น การที่ผู้บังคับบัญชาเห็นว่ามีคนไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งบางตำแหน่งเพราะพิจารณาแต่คนในฝ่ายของตน หรือคนของตนมีความสามารถพอที่จะเลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่ได้มองตำแหน่งงานในส่วนอื่นดูแต่เฉพาะในส่วนงานของตนว่าตำแหน่งยังไม่ว่างที่จะบรรจุบุคคลนั้น แต่ถ้าใช้ระบบเปิดผู้บังคับบัญชาก็จะมองหาตำแหน่งในหน่วยงานอื่นมาบรรจุบุคคลที่เหมาะสม
ระบบเปิดได้แก่ระบบที่ให้โอกาสพิจารณาบุคคลทุกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้ดำรงตำแหน่งที่ว่างโยไม่คำนึงถึงว่าบุคคลนั้นจะทำงานในส่วนงานใดขององค์การ ส่วนลักษณะของระบบปิดในการเลื่อนตำแหน่งคือ
3.1 โครงสร้างขององค์การไม่เหมาะสมจนทำให้ซ่อนคนดีๆไว้นอกสายตาของผู้บริหาร
3.2 องค์การมักจะใช้นโยบายบรรจุบุคคลจากภายในหน่วยงานเท่านั้น โดยไม่พิจารณาคนอยู่นอกหน่วยงาน
3.3 โอกาสที่จะพิจารณาบุคคลใดบุคคลหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งที่ว่างลงมักจะขึ้นอยู่กับความเห็นของหัวหน้างานโดยตรงเป็นสำคัญเท่านั้น
3.4 เมื่อมีตำแหน่งว่างมักจะไม่แจ้งให้บุคคลที่เหมาะสมรู้ทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับการพิจารณา
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดระบบเปิดในการเลื่อนตำแหน่งมีอยู่ 2 ประการคือ หน่วยงานหรือองค์การไม่มีระบบที่ดีพอจนไม่รู้ว่าใครมีความสามารถมีความเหมาะสม และผู้บังคับบัญชาโดยตรงมีอำนาจที่ไม่จำเป็นและมากเกินไปในการพิจารณาบุคคลผู้เหมาะสมในงานอาชีพนั้น
4. การลดจำนวนพนักงาน ในบางช่วงเวลาขององค์การอาจมีจำนวนพนักงานมากกว่างานที่ทำซึ่งทำให้เกิดขึ้นในแต่ละปีของการมีงานน้อยกว่าคนอาจมีมากน้อยแตกต่างกัน การผันผวนทางเศรษฐกิจ ความต้องการของผู้บริโภคเป็นฤดูกาลและการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดสถานการณ์แรงงานมีมากกว่าความต้องการ การแก้ปัญหาคนล้นงานอาจใช้วิธีที่สำคัญ 3 วิธีคือ
4.1 เฉลี่ยงานกันทำ ให้ทุกคนทำงานน้อยลงได้ค่าตอบแทนน้อยลงตามปริมาณงานที่ลดลงขณะเดียวกันพนักงานที่เห็นว่างานน้อยลงก็อาจลาออกไปทำที่อื่น
4.2 โยกย้ายไปทำงานที่อื่น ถ้าเป็นไปได้ย้ายไปทำงานในหน่วยงานอื่นขององค์การในข่วงที่งานน้อยวิธีเหมาะสมที่จะนำมาใช้เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีคือการย้ายทำให้คนไปสร้างงานใหม่ในหน่วยงานอื่น
4.3 การให้ออกจากงานการให้ออกเป็นวิธีรุนแรงแต่ก็มีความจำเป็นต้องกระทำเพราะเป็นการลดภาระของบริษัทลง

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภารกิจของการจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์


การจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ขององค์การการต่างๆ โดยทั่วไปมักประกอบด้วยภารกิจที่สำคัญ 5 ประการดังต่อไปนี้
1. การสรรหาและการคัดเลือกบุคลากร ภารกิจสำคัญประการแรกของการจัดการบุคลากรคือ การสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งงานและองค์การ การสรรหาบุคลากร คือกระบวนการของการค้นหาและจูงใจบุคคลซึ่งมีความสามารถให้เข้ามาสมัครงานกับองค์การ กระบวนการนี้เริ่มต้นเมื่อบุคคลได้รับการติดต่อและสิ้นสุดลงเมื่อบุคคลเหล่านั้นได้สมัครเข้าทำงานกับองค์การดังนั้น ผลลัพธ์ของกระบวนการสรรหาบุคลากรคือ กลุ่มผู้สมัครงานซึ่งจะได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำงานต่อไป สำหรับการคัดเลือกลุคลากรคือ กระบวนการพิจารณาและคัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถและความเหมาะสมมากที่สุดจากกลุ่มบุคคลที่ได้เลือกสรรไว้ (วิลาศ สิงหวิสัย , 2535)
2. การพัฒนาบุคลากร หมายถึงการดำเนินการอย่างเป็นระบบขององค์การเพื่อส่งเสริม สนับสนุน และปรับปรุงให้บุคลากรมีความรู้ ทักษะ และความสามารถในการทำงานที่เหมาะสม และมีความงอกงามเติบโตทางจิตใจและบุคลิกภาพ ที่จะส่งผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพรวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย (ชูชัย สมิทธิไกร, 2544) สำหรับวิธีการพัฒนาบุคลากรนั้นสามารถกระทำได้ในหลายรูปแบบ เช่น การปฐมนิเทศบุคลากร การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร การพัฒนาอาชีพ เป็นต้น
3. การกระตุ้นจูงใจบุคลากร คือการจูงใจบุคลากรให้มีความกระตือรือร้น ทุ่มเท พลังกายและใจให้แก่การทำงานเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากต่อความสำเร็จขององค์การ กลยุทธ์การจูงใจบุคลากรสามารถกระทำได้หลายรูปแบบ เช่น การบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ การให้รางวัลตอบแทนและการประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีความเป็นธรรมเป็นต้น
4. การบำรุงรักษาบุคลากร คือการดำเนินการต่างๆ เพื่อทำให้บุคลากรมีความพึงพอใจในการทำงาน โดยมีการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน การส่งเสริมสุขนภาพของลุคลากร ลากรจัดระบบการติดต่อสื่อสารภายในองค์การที่ดี
5. ยุติการจ้างงาน คือการยุติความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับพนักงานเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่นการเกษียณอายุ การลาออก หรือการเลิกสัญญาจ้างงานเป็นต้น ดังนั้นองค์การจึงจำเป็นต้องมีวิธีการที่เหมาะสมในการยุติการจ้างงาน โดยทั่วไป วิธีการที่ใช้มักได้แก่ การให้ คำปรึกษาเมื่อเกษียน การสัมภาษณ์ก่อนออกจากงาน การจัดหางานใหม่

การประเมินค่ากำลังคนที่มีอยู่ในปัจจุบัน


ก่อนที่จะวางแผนความต้องการคนงานในอนาคต องค์การควรจะรู้ลักษณะและสถานะของคนงานในปัจจุบันเสียก่อน อย่างน้อยก็เพื่อให้รู้ว่าองคากรมีความพอใจกำลังงานที่มีอยู่เพียงใด การประเมินคุณค่ากำลังงานควรแยกออกจากกันแต่ละเรื่องไป เช่นแยกตามอายุ เพศ ระยะเวลา หรือจำนวนปีที่เข้ามาทำงาน หน้าที่ตำแหน่งงานปัจจุบัน การเลื่อนตำแหน่ง และปีที่จะออกจากงาน ข้อมูลดังกล่าวจะทำให้สามารถเตรียมวางแผนเกี่ยวกับการให้การฝึกอบรม การจัดทำงบประมาณทางด้านค่าจ้าง การจ้างคนงานเพิ่มเติม ในการประเมินกำลังคนงานที่มีอยู่ในปัจจุบันมีสิ่งที่ควรพิจารณา อยู่ 2 ประการคือ
1. อัตราการขาดงาน (Absenteeism) คือการที่บุคคลไม่มาทำงานตามที่กำหนดไว้อันมีผลกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติงานทำให้งานไม่สำเร็จตามแผนผังที่วางไว้ การขาดงานอาจเกิดจากสาเหตุความเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ผู้ควบคุมหรือหัวหน้าจะต้องหาสาเหตุของการขาดงานขอแต่ละคน แยกตามอายุ เพศ ระยะเวลาที่มีการขาดงานและลักษณะงานที่ก่อให้เกิดการขาดงาน การขาดงานก่อให้เกิดผลเสียและทำให้องค์การต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งๆที่องค์การไม่ต้องจ่ายเงินให้กับคนงานที่ขาดงานนั้น ผลเสียเหล่านี้เช่น งานขององค์การไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ สินค้าไม่เสร็จตามเวลาที่ต้องการ ต้อองยืดเวลาส่งมอบงานออกไปอีกทำให้เสียโอกาสและเสียลูกค้าไป ฉะนั้นฝ่ายบริหารจะต้องลดหาทางขาดงานให้น้อยลง การวัดการขาดงานเป็นการเปรียบเทียบเวลาที่ขาดงานกับเวลาทั้งหมดที่คนจะต้องทำงานมีสูตรดังนี้

อัตราการขาดงาน = จำนวนวันที่คนขาดงาน
จำนวนวันที่คนทำงาน + จำนวนวันที่คนขาดงาน

อัตราการขาดงานของแต่ละองค์การขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น ชั่วโมงทำงานต่ออาทิตย์ ระบบการจ่ายค่าจ้าง การฝึกอบรมคนงาน ตารางเวลาทำงานและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขาดงาน อัตราขางานที่ถือว่ามากหรือน้อยนั้นยังไม่มีการกำหนดว่าขนาดใดจึงจะเรียกว่ามาก นอกจานี้ยังมีวิธีการคำนวณอัตราความถี่ของการขาดงาน มีดังนี้

ความถี่ของการขาดงาน = จำนวนวันที่คนขาดงานในงวดหนึ่ง
จำนวนคนทำงานโดยเฉลี่ย x จำนวนวันทำงานในงวดนี้

2. การหมุนเวียนของแรงงาน (Labor Turnover) อีกวิธีหนึ่งที่ใช้วัดความต้องการแรงงานคือ หาจากการหมุนเวียนของแรงงาน ซึ่งได้แก่ปริมาณการเข้าและออกของคนงานภายในระยะเวลาหนึ่ง เช่นสำหรับเวลา 1 เดือน การออกของคนงานทำให้รู้ว่ามีตำแหน่งว่างที่ต้องการทั้งหมด การหมุนเวียนของแรงงานนอกจากจะเกี่ยงข้องกับตำแหน่งว่างแล้วยังเป็นการเพิ่มภาระรายจ่ายให้กับองค์การอีกด้วย ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้แก่
ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างคนงาน เช่น เอกสารเกี่ยวกับใบสมัคร การทำข้อสอบ เวลาของการกรรมการสอบคัดเลือกและค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องมือในการรับสมัครและคัดเลือก
ค่าใช้จ่ายในการอบรมพนักงานคนใหม่ การทดลองงาน การเสียเวลาของผู้ทำการฝึกอบรม อุปกรณ์ในการฝึกอบรม ค่าวัสดุที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการปฏิบัติงานบกพร่องในตอนแรกๆของการทำงานที่ยังไม่มีความรู้เพียงพอ
อุบัติเหตุในระยะแรกจะสูงขึ้น เพราะผู้ปฏิบัติงานยังไม่คุ้นเคยกับสภาพและวิธีทำงานทำให้ต้องเสียงาน เสียเวลาในการรักษาและค่าใช้จ่ายชดเชยอุบัติเหตุ
ค่าใช้จ่ายต่างๆในระหว่างที่เกิดตำแหน่งว่างและรับสมัครคนงานใหม่ เช่น ผลผลิตน้อยลง เวลาว่างเปล่าอันเกิดจากเครื่องจักรเครื่องมือบางส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน ค่าล่วงเวลาสำหรับทำงานนอกเวลา เพื่อชดเชยการผลิตให้อยู่ในอัตราการผลิต
การคำนวณอัตราหมุนเวียนของแรงงานกระทำโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างการเข้าทำงานหรือการออกจากงานสำหรับระยะเวลาหนึ่งกับจำนวนคนงานเฉลี่ยในระยะเวลาเดียวกัน เช่น สมมติว่าในโรงงานแห่งหนึ่งมีคนงานเมื่อวันต้นเดือนจำนวน 1,190 คน และวันปลายเดือนมีคนงานจำนวน 1,210 คน ในเดือนนั้นมีคนงานเข้ามาทำงานใหม่จำนวน 50 คน และมีคนงานออกจากงาน 30 คน
อัตราการเข้าทำงาน = 50 x 100 หรือ 50 x 100 = 4.25%
1,190 + 1,210 1,200
2

อัตราการการออกจากงาน = 30 x 100 หรือ 50 x 100 = 2.5%
1,190 + 1,210 1,200
2

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การวางแผนบุคลากรมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 4 ประการ


การวางแผนบุคลากรที่มีประสิทธิภาพจะช่วยฝ่ายบริหารขององค์การให้สามารถทำงานได้บรรลุเป้าหมายรวมขององค์การ ในด้านการบริหารงานบุคลากรการวางแผนบุคลากรมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 4 ประการคือ
1. เพื่อสร้างความแน่นอนในการจ้างงาน เหตุการณ์ไม่แน่นอนในการสร้างงานจะเกิดขึ้นในกรณีที่ความต้องการในด้านแรงงานเปลี่ยนแปลงไปอาจทำให้องคากรต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างงานสูงขึ้น เช่น เมื่อเกิดการขาดแคลนแรงงานองคากรก็อาจหาคนมาทำงานแทนได้ หรือเมื่อมีความต้องการแรงงานสูงก็จะทำให้องค์การลดค่าจ้างล่วงเวลาลงได้
2. เพื่อป้องกันพนักงานที่มีความรู้ความสามารถสูงที่ออกจากงานภายหลังที่ได้นับการอบรมแล้ว องค์การมักจะเสียค่าใช้จ่ายในการอบรมสูงในการฝึกอบรมพนักงานมี่เข้ามาใหม่ แต่เมื่อมีการอบรมแล้วปรากฏว่าบุคคลเหล่านี้เห็นว่าโอกาสที่เขาจะก้าวหน้าในงานมีน้อยจึงลาออกจากงานไป การวางแผนบุคลากรจะต้องพิจารณาถึงโอกาสของคนที่ทำงานเหล่านี้ด้วย
3. เพื่อลดปัญหาของคนมาทดแทนตำแหน่งงานที่ว่างลงอันเนื่องมาจากพนักงานลาออกหรือตาย องค์การมักจะวางแผนล่วงหน้าหลายๆปีว่าในปีใดพนักงานคนไหนต้องออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุหรือหมดสัญญาจ้างงานก็จำเป็นต้องเตรียมคนไว้ดำรงตำแหน่งแทน
4. เพื่อจัดสรรจำนวนเงินไว้เป็นค่าจ้างหรือเงินเดือนให้กับพนักงานสอดคล้องและเหมาะสมกับตำแหน่งงานหรือประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน การวางแผนทำให้รู้ว่าตำแหน่งงานใดมีความจำเป็นต่องานขององค์การและงานใดผู้ปฏิบัติงานทำงานมีประสิทธิภาพเหมาะสมกับตำแหน่งงานคุมกับค่าตอบแทนที่จ่ายให้กับการทำงานนั้น

ความจำเป็นและวัตถุประสงค์ของการวางแผนบุคลากร


การวางแผนบุคลากรนั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารไม่ว่าจะเป็นองค์การขนาดเล็กหรือองค์การขนาดใหญ่ สำหรับองค์การขนาดเล็กการวางแผนบุคลากรจะแสดงให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นหากองค์การนั้นขยายตัวใหญ่ขึ้นและสำหรับองค์การขนาดใหญ่ผู้บริหารก็จะรู้ว่าการบริหารด้านบุคคลมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดความจำเป็นในการวางแผนเกิดขึ้นด้วยสาเหตุต่อไปนี้
1. การวางแผนในปัจจุบันจำเป็นจะต้องมีการวางแผนบุคลากรที่ดีขึ้น เพราะภาวะต่างๆในการดำเนินงานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากไม่มีการเตรียมตัวที่ดีองค์การก็จะประสบปัญหาในด้านต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาในทางเศรษฐกิจที่ประสบโดยตรงและรวดเร็วต่อความอยู่รอดขององค์การ
2. ปัจจุบันองค์การมีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นซึ่งจำเป็นต้องใช้ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน การหาคนที่มีความรู้ความชำนาญมาบรรจุในตำแหน่งงานเป็นเรื่องยุ่งยากและการบรรจุบุคคลทดแทนผู้ที่มีความรู้ความชำนาญก็จะมีความยุ่งยากมากขึ้น เพราะว่ากว่าที่จะอบรมคนให้มีความรู้ความชำนาญงานต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิม การใช้เวลามากขึ้นนั้นก็ทำให้ต้องมีการวางแผนด้านกำลังคนที่ยุ่งยากยิ่งขึ้น
3. การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ จนแทบจะตามไม่ทันในทุกๆด้าน งานบางอย่างที่เคยใช้เวลาหลายๆวันก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงอันเนื่องมาจากการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่นำมาช่วยในการประมวลข้อมูลทำให้ประหยัดเวลาอย่างมากและได้ข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอนและการมีเทคโนโลยีก้าวหน้านี่เองที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีคุณค่า คนที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีใหม่ๆย่อมเป็นที่ต้องการขององค์การ
4. กฎหมายและข้อกำหนดของรัฐ ในปัจจุบันรัฐได้ออกกฎหมายระเบียบปฏิบัติทางด้านแรงงานมากขึ้นโดยเฉพาะเป็นกฎหมายคุ้มครองสิทธิด้านแรงงาน ข้อกำหนดของรัฐต่างๆล้วนมีอิทธิพลต่อการดำเนินงานขององค์การ โดยเฉพาะการจำกัดการตัดสินใจทางการบริหาร ผลที่จะเกิดขึ้นก็คือจะก่อให้เกิดปัญหาการจ้างแรงงานคือแทนที่องค์การจะจ้างงานได้ตามจำนวนที่ต้องการ แต่จะทำให้จำกัดการจ้างในระดับหนึ่ง
5. การสร้างความเท่าเทียมกันในการจ้างงาน เมื่อมีปัญหาแรงงานโดยคนงานร้องเรียนต่อกรมแรงงานว่าองค์การไม่ได้ให้ความเท่าเทียมกันต่อผู้สมัครงาน องค์การจะต้องแสดงหลักฐานการวางแผนบุคลากรเกี่ยวกับการจ้าง การบรรจุแต่งตั้ง การฝึกอบรม การเลื่อนตำแหน่ง หรือการจ่ายค่าตอบแทนเป็นไปตามหลักเกณฑ์และไม่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจ้างงาน
6. การวางแผนบุคลากรเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนกลยุทธ์ ปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจดำเนินไปอย่างรุนแรงจนองค์การทุกแห่งต้องกำหนดแผนกลยุทธ์ขององค์การขึ้นมาเพื่อให้สามารถแข่งขันกับองค์การอื่นได้ การวางแผนบุคลากรก็เป็นแผนอย่างหนึ่งขององค์การและเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ขององค์การ

กระบวนการในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน


แต่ละองค์การจะมีขั้นตอนในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานแตกต่างกันไปตามแต่ความเหมาะสมของระยะเวลา งบประมาณ และความพร้อมของบุคคลที่ทำหน้าที่ในการคัดเลือก นอกจากนี้งานในหน้าที่ที่ต่างกัน เช่น ผู้บริหารวิศวกร นักบัญชี เลขานุการ พนักงานเดินหนังสือ คนงานโรงงานอุตสาหกรรมก็จะมีขั้นตอน รายละเอียดและวิธีการคัดเลือกที่ผิดแผกกันไป โดยทั่วไปกระบวนการในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานจะประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1. การเริ่มต้นการรับสมัคร เป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการคัดเลือกบุคลากรโดยเริ่มต้นตั้งแต่การแจกจ่ายใบสมัครและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการรับสมัครและการคัดเลือก เช่น คุณสมบัติของบุคคลที่องค์การต้องการ วิธีการกรอกใบสมัคร เอกสารสำคัญในการสมัครงาน ขั้นตอนและระยะเวลาในการคัดเลือก เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจจะต้องมีการตอบข้อสงสัยและอำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัครเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์การและกระบวนการคัดเลือกบุคลากร ซึ่งจะทำให้ผู้สมัครสามารถเตรียมตัวสำหรับการคัดเลือกได้ถูกต้องและไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นระหว่างการคัดเลือก
2. การสัมภาษณ์ขั้นต้น มีเป้าหมายสำคัญในการคัดบุคคลที่ขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมในการเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ต้องการอย่างชัดเจนออกจากกระบวนการคัดเลือก เพื่อมิให้องค์การ ผู้ทำการคัดเลือก และผู้สมัคร ต้องเสียเวลา ค่าใช้จ่ายและความรู้สึกเนื่องจากการคัดเลือกบุคลากรเป็นกิจกรรมที่ใช้ระยะเวลาและค่าใช้จ่ายสูงทั้งกับองค์การและผู้สมัคร โดยเฉพาะในตำแหน่งงานที่มีความสำคัญต่อองค์การโดยที่การสัมภาษณ์ขั้นต้นจะใช้ระยะเวลาไม่มากนักและมักที่จะกระทำโดยหน่วยงานด้านบุคลากร หรือบุคคลที่พอมีความรู้ในงานที่องค์การต้องการ
3. การกรอกใบสมัคร มีเป้าหมายในการรวบรวมข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับผู้สมัครงานโดยเฉพาะคุณสมบัติที่องค์การต้องการในแต่ละงาน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาความเหมะสมในขั้นตอนต่อไป
ใบสมัครที่ดีควรมีลักษณะสั้น เข้าใจง่าย ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการและทำให้ผู้มีหน้าที่ในการคัดเลือกสามารถมองเห็นภาพและลักษณะเด่นของผู้สมัครได้ ดังนั้นกระบวนการคัดเลือกบุคลากรที่มีประสิทธิภาพต้องมีการออกแบบและการพัฒนาใบสมัครให้มีความทันสมัย และเหมาะกับแต่ละงานอยู่ตลอดเวลา
4. การสอบคัดเลือก เป็นขั้นตอนที่หลายองค์การ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีขนาดกลางและขนาดใหญ่ให้ความสำคัญมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าการสอบที่ได้รับการวางแผนอย่างดีมีความถูกต้องและเชื่อถือได้จะสามารถแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับงาน ตลอดจนสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีความเหมาะสมกับงานนั้น ๆ กับบุคลที่ขาดคุณสมบัติได้ในระดับหนึ่งแต่ในความเป็นจริงเป็นการยากสิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายที่จะสร้างข้อสอบที่สามารถวัดผลและประเมินพฤติกรรมบุคคลได้อย่างถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นผู้ทำหน้าที่คัดเลือกบุคลากรสมควรนำผลการทดสอบมาใช้ประกอบการพิจารณาการคัดเลือกบุคคลร่วมกับข้อมูลอื่นที่มี เพื่อให้สามารถคัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมกับงานได้ตามที่องค์การต้องการ
5. การสอบสัมภาษณ์ มีเป้าหมายให้ผู้ทำการคัดเลือกมีความเข้าใจในคุณลักษณะโดยรวมของผู้สมัครงานที่ขั้นตอนอื่นไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน เช่น ความรู้ ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร บุคลิกภาพ ทัศนคติ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เป็นต้น เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาว่าผู้สมัครคนใดมีความเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่สุด
การสอบสัมภาษณ์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เนื่องจากเป็นงานที่ละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และความสามารถเฉพาะตัวของผู้ทำการสัมภาษณ์ ในการผสมผสานปัจจัยต่าง ๆ การจับประเด็น การวิเคราะห์ และการตัดสินใจเพื่อให้การสัมภาษณ์บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพ
6. การสอบประวัติ ต้องการที่จะตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นจริงเกี่ยวกับผู้สมัคร โดยองค์การจะทำการตรวจสอบจากข้อมูลอ้างอิงที่มีในขั้นตอนการรับสมัครตั้งแต่ ครอบครัว การศึกษา การทำงาน ประวัติอาชญากรรม ตลอดจนทำการตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น สถาบันการศึกษา ที่ทำงานปัจจุบันและที่ทำงานเก่า กรมตำรวจหรือหน่วยราชการอื่น เพื่อให้แน่ใจว่าผู้สมัครมีคุณสมบัติถูกต้องตามที่องค์การต้องการและไม่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาแก่องค์การในอนาคต การให้ความสำคัญและความละเอียดรอบคอบกับขั้นตอนนี้จะขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน โดยงานที่ต้องการความรับผิดชอบและความซื่อสัตย์จะให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้เป็นอย่างมาก เช่น นักบัญชี พนักงานธนาคาร หรือข้าราชการ เป็นต้น
7. การตรวจสุขภาพ เป็นขั้นตอนเกือบสุดท้ายในกระบวนการคัดเลือกบุคลากร โดยที่การตรวจสุขภาพจะดำเนินการกับบุคคลที่ผ่านการทดสอบ การสัมภาษณ์ และการตรวจประวัติแล้ว เนื่องจากขั้นตอนนี้จะสิ้นเปลืองทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงจึงสมควรนำมาใช้ในขั้นตอนท้ายของการคัดเลือก เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมก่อนการตัดสินใจขั้นสุดท้าย โดยที่เหตุผลสำคัญในการตรวจสุขภาพมีดังต่อไปนี้
1. เพื่อคัดบุคคลที่มีสุขภาพไม่เหมาะสมกับการปฏิบัติงานออกไป จากกระบวนการคัดเลือก เนื่องจากงานบางประเภทต้องการบุคคลที่มีสภาพร่างกายแข็งแรง มีความปกติ หรือมีคุณสมบัติพิเศษทางกายภาพ
2. เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นขององค์การ เนื่องจากบุคคลที่อาจจะมีโรคประจำตัว หรือสุขภาพที่ไม่แข็งแรงก่อนเข้าร่วมงานกับองค์การ ถ้าองค์การรับบุคคลดังกล่าวเข้าร่วมงานโดยมิได้ทำการตรวจสุขภาพอย่างละเอียด อาจทำให้องค์การต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโดยไม่จำเป็น หรือ ถ้าบุคคลมีสภาพร่างกายที่ไม่เหมาะสมกับงานบางประเภทอาจที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุและความสูญเสียขึ้นแก่องค์การ
3. เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อภายในองค์การ เนื่องจากโรคติดต่อสามารถที่จะแพร่ระบาดได้ในที่สาธารณะ ดังนั้นเมื่อรับบุคคลที่เป็นโรคติดต่อเข้าร่วมงานกับองค์การก็อาจทำให้บุคลากรที่ทำงานอยู่เดิมได้รับเชื้อไปด้วยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อองค์การทั้งในด้านค่าใช้จ่าย ขวัญและกำลังใจของบุคลากร และผลิตภาพโดยรวม
8. การคัดเลือกขั้นสุดท้าย การคัดเลือกขั้นสุดท้ายจะดำเนินการ โดยบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการคัดเลือกบุคลากร เพื่อตัดสินใจว่าจะรับบุคคลที่ผ่านกระบวนการทั้งหมดเข้าร่วมงานกับองค์การหรือไม่ โดยการพิจารณาข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการคัดเลือกบุคลากร โดยอาจให้ความสำคัญกับบางปัจจัยในการคัดเลือก เช่น บุคลิกภาพ การศึกษาและการฝึกอบรม สติปัญญา ทักษะทางกายภาพ ความถนัด ประสบการณ์ หรือคุณสมบัติอื่นตามแต่ลักษณะงาน
ปกติการคัดเลือกขั้นสุดท้ายมักจะให้อำนาจในการตัดสินใจแก่หัวหน้างานโดยตรง เนื่องจากหัวหน้างานจะเป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งมีความรับผิดชอบต่อผลการดำเนินงานของหน่วยงานและบุคคลที่เขาบริหารงานอยู่
9. การรับเข้าทำงาน เมื่อตัดสินใจรับบุคคลเข้าทำงาน องค์การจะทำการจัดบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งงานต่างๆตามความความต้องการ โดยในช่วงแรกอาจที่จะมีระยะเวลาทดลองงาน (PORBATION RERIOD) เพื่อทำการตรวจสอบและประเมินผลว่าบุคคลนั้นสามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานและขององค์การเพียงใด

ลักษณะการวางแผนบุคลากร


การวางแผนบุคลากรเพื่อส่งเสริมองค์กรให้สามารถตอบสนองความต้องการทางด้านแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการทางด้านทรัพยากรอย่างอื่น เพราะองค์กรต้องการบุคคลเช่นเดียวกับต้องการวัตถุดิบ อุปกรณ์และสิ่งอื่นสำหรับในการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ การวางแผนบุคลากร หมายถึงกระบวนการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าองค์การสามารถหาคนที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมเข้ามาทำงานได้ตามระยะเวลาที่องค์การต้องการคน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าการวางแผนบุคลากรเป็นการคาดคะเนอย่างเป็นระบบในเรื่องอุปสงค์และอุปทานของพนักงานขององค์การ สำหรับระยะเวลาในอนาคตการคาดคะเนจำนวนและประเภทของพนักงานที่ต้องการก็จะทำให้ฝ่ายบุคคลขององค์กรสามารถวางแผนสรรหา การคัดเลือก การฝึกอบรม และดำเนินการอย่างอื่น ๆ ได้ถูกต้อง งานวางแผนบุคลากรเกี่ยวข้องกับงานที่สำคัญ 2 อย่างคือ
1. ประมาณจำนวนและประเภทของคนที่ต้องการสำหรับระยะเวลาหนึ่ง โดยปกติบริษัทอาจเลือกวิธีการที่เกี่ยวกับความต้องการแรงงานเพิ่มเติมได้สองวิธี วิธีแรก วางแผนถึงจำนวนคนงานที่ต้องการขึ้นล่วงหน้าอย่างมีหลักเกณฑ์ที่ดี ส่วนวิธีที่สอง ไม่ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เมื่อเกิดความจำเป็นต้องจ้างแรงงานเข้ามาใหม่ก็ทำการคัดเลือกเข้ามา วิธีที่สองนี้เหมาะสำหรับองค์การขนาดเล็กและขนาดกลางซึ่งมีคนงานไม่มาก ตำแหน่งงานมีน้อย และอัตราหมุนเวียนการจ้างงานต่ำจึงไม่ต้องสนใจในเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนทางด้านแรงงานแต่ประการใด เพียงแต่ดำเนินงานให้ก้าวหน้าเท่านั้นก็จะให้มีโอกาสคัดเลือกคนงานที่ดีได้ สำหรับองค์การขนาดใหญ่ที่มีการขยายงานอยู่เรื่อย ๆ มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นและมีอัตราหมุนเวียนการจ้างแรงงานสูงจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างมีระบบเกี่ยวกับปริมาณ ความต้องการแรงงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งบังคับให้ธุรกิจต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆที่เกิดขึ้น และการขยายขนาดของการดำเนินงานทำให้จำนวนคนงานที่มีอยู่ หรือความรู้ความสามารถของคนงานปัจจุบันอาจไม่เพียงพอและเหมาะสมกับงานที่เพิ่มขึ้น
ในการกะปริมาณจำนวนคนงานที่ต้องในขั้นต้นจะต้องคำนึงถึงการขยายปริมาณงานขององค์การโดยเริ่มจากแผนการผลิตของทั้งบริษัทแล้วแยกออกเป็นแต่ละแผนกว่ามีแผนงานทางด้านการผลิตในปริมาณเท่าใด ต้องใช้เวลาการผลิตอย่างไร งานแต่ละหน้าที่ใช้เวลาทำงานและคนงานมากน้อยเพียงใด แล้วจึงเปรียบเทียบกับปริมาณแรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะรู้ว่าในอนาคตจะต้องการคนเพิ่มขึ้นเท่าไร ในขั้นต่อไปก็จะต้องทำงานวิเคราะห์งาน เพื่อให้รู้หน้าที่งานแต่ละอย่างมีอย่างไรและต้องรับผิดชอบขนาดใด สำหรับความต้องการบุคคลในระดับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษนั้นก็จะต้องมีการวางแผนล่วงหน้าเช่นเดียวกัน แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายของฝ่ายบริหารที่จะสร้างบุคคลในระดับนี้ขึ้นมา
2. ศึกษาติดามลักษณะความเป็นไปในตลาดแรงงาน องค์การบางแห่งถือนโยบายบรรจุพนักงานในตำแหน่งที่ว่างลงจากบุคคลภายในบริษัท โดยเลือกบุคคลตำแหน่งริองลงไปหรือพิจารราเลื่อนชั้นจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมขึ้นมา หรือสร้างบุคคลตำแหน่งต่างๆให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน แต่บางแห่งก็ถือนโยบายบรรจุบุคคลภายนอกเข้ามาดำรงตำแหน่งที่ว่างลงโดยพิจารณาคุณวุฒิและความเหมาะสมต่างๆ ซึ่งไม่ว่าจะใช้นโยบายการเลื่อนตำแหน่งหรือการบรรจุพนักงานอย่างไร องค์การจะต้องพิจารณาลักษณะความเป็นไปในตลาดแรงงาน เพราะแนวโน้มในตลาดแรงงาน เช่น ปริมาณแรงงาน คุณวุฒิและความสามารถของคนงานประสบการณ์ ความต้องการในการจ้างแรงงานและอัตราค่าจ้างเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อแผนกงานทางด้านกำลังคนขององค์การ
เสนาะ ติเยาว์ (2543) คำว่าตลาดแรงงาน หมายถึง บริเวณที่ทั้งนายจ้างจะสามารถหาคนเข้ามาทำงานได้ และลูกจ้างหางานทำได้ เป็นขอบเขตที่ความต้องการงาน และจำนวนคนงานที่ต้องการทำงานเกี่ยวข้องกัน โดยปกติหมายถึง บริเวณที่มีคนอยู่อาศัย เช่น เมือง ตำบล หมู่บ้านที่คนจะสามารถเปลี่ยนงานหรือย้ายงานได้โดยไม่ต้องย้ายที่อยู่ และในทำนองเดียวกันนายจ้างก็อาจหาลูกจ้างเข้าทำงานได้โดยไม่ต้องย้ายโรงงานหรือสำนักงาน ลักษณะของตลาดแรงงานไม่มีโครงรูปที่แน่นอน ไม่มีการจัดรูปงานที่เป็นระบบ เนื่องมาจากกระบวนการที่นายจ้างจะได้คนเข้ามาทำงานหรือคนรู้จัดแนะนำมา คนงานมาหานายจ้างด้วยตนเองโดยไม่มีวิธีการอย่างใดหรืออาศัยการติดต่อผ่านสมาคมแรงงานหรืออาจหาคนงานผ่านพวกนายหน้าหางาน ลักษณะที่เห็นได้อย่างหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญของตลาดแรงงานก็คือ ค่าจ้างซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการและปริมาณของแรงงานเช่นเดียวกับสินค้า แต่ว่ามีสิ่งแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น การเคลื่อนย้ายคนงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัตราค่าจ้างอย่างเดียวแต่ยังขึ้นอยู่กับจารีตประเพณี ความผูกพันระหว่างญาติพี่น้องและถิ่นกำเนิด เป็นต้น แต่ก็ถือได้ว่าอัตราค่าจ้างเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่ง
อัตราค่าจ้างของอาชีพหรืองานแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน แต่ก็มีตัวปัจจัยที่คล้ายกันคือ ถูกกำหนดด้วยความสามารถที่นายจ้างจะจ่ายค่าจ้างได้ ประสิทธิภาพของคนงาน นโยบายของฝ่ายบริหารและบริการที่จะให้แก่คนงานนอกเหนือจากค่าจ้าง นอกจากนี้ยังมีอีกลักษณะหนึ่งที่เกี่ยวกับอัตราค่าจ้าง ก็คือ นายจ้างมักจะเป็นผู้กำหนดค่าจ้างขึ้นเองมากกว่าลูกจ้างจะเป็นฝ่ายเรียกร้อง ลักษณะการย้ายงานก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะต้องพิจารณา การจ่ายค่าจ้างสูงขึ้น ถึงจะมีส่วนทำให้คนย้ายงาน แต่ก็ต้องให้สูงถึงระดับหนึ่งที่คุมกันจึงจะได้ผล อนึ่งการย้ายงานไม่ใช่เป็นเรื่องที่ประกาศเปิดเผย คนที่จะย้ายมาทำงานอีกที่แห่งหนึ่งมักจะดูโอกาสความก้าวหน้าที่ตนจะได้รับด้วย ซึ่งจะต้องดูว่าระหว่างการทำงานที่เดิมที่ตนรู้งานดีแล้วกับสถานที่ใหม่ที่ตนจะต้องฝึกหัดงานอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง จะต้องมีเพื่อนร่วมงานใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ ผู้บังคับบัญชาใหม่ที่เขาจะต้องทำความรู้จักคุ้นเคย จะต้องพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับทางด้านสวัสดิการ ความมั่นคง ผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับบำเหน็จบำนาญ ระบบอาวุโส (Seniority Systems) ที่จะส่งผลถึงการเลื่อนตำแหน่งงานและบริการที่จะได้รับจากที่ทำงานใหม่ การศึกษาความเป็นไปในตลาดแรงงานจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้องค์การเตรียมลู่ทางขยายงานของตนให้สอดคล้องกับจำนวนแรงงานที่ต้องการในอนาคต

การจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์


การจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ : เครื่องมือสำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพองค์การ

การจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ คือกระบวนการเกี่ยวกับการสรรหา การคัดเลือก การพัฒนาการจูงใจ การรักษา และการยุติการจ้างบุคลากรนขององค์การ จุดมุ่งหมายสำคัญของการจัดการบุคลากร คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรภายในองค์การภายใต้จริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม

วัตถุประสงค์ของการจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์
การจัดการบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ จะสามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กล่าวข้างต้นได้ ก็โดยการกระทำตามวัตถุประสงค์สำคัญ 4 ประการ ดังต่อไปนี้คือ
1. วัตถุประสงค์ที่มีต่อสังคม องค์การจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและปฏิบัติต่อบุคลากรอย่างมีจริยธรรม อาทิ การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ เป็นต้น
2. วัตถุประสงค์ที่มีต่อองค์การ องค์การจะต้องตระหนักว่าการจัดการบุคลากร หรือทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขององค์การให้สามารถดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายได้
3. วัตถุประสงค์ที่มีต่อภาระหน้าที่ ฝ่ายบุคลากรจะต้องปฏิบัติภารกิจของตนเพื่อตอบสนองความต้องการขององค์การ ซึ่งมุ่งหวังหวังให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. วัตถุประสงค์ที่มีต่อบุคลากร หมายถึงการช่วยเหลือให้บุคลากรสามารถบรรลุเป้าหมายส่วนตัวตราบใดที่เป้าหมายนี้มีส่วนเกื้อหนุนการดำเนินงานขนององค์การทั้งนี้เพื่อจูงใจและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพให้คงอยู่กับองค์การต่อไป มิฉะนั้นแล้วบุคลากรอาจนเกิดความไม่พึงพอใจในการทำงาน และลาออกจากงานในที่สุด

การสรรหาบุคลากร (Recruitment)


ปัจจุบันปัญหาจำนวนคนที่ทำงานในองค์กรเป็นปัญหาที่สำคัญ จะต้องวางแผนไว้ล่วงหน้านาน ๆ เพราะปริมาณคนไม่อาจเพิ่มหรือลดได้ง่ายเหมือนสิ่งของอย่างอื่น หากได้คนเข้ามาทำงานที่มีคุณภาพไม่ดีพอก็จะกระทบกระเทือนต่อผลงานขององค์กร หรือถ้าการวางแผนนโยบาย และแผนงานเกี่ยวกับกำลังพลไม่เหมาะสม ก็อาจทำให้งานขององค์กรหยุดชะงักได้ องค์การจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าปริมาณความต้องการแรงงานไม่คงที่ แม้ในเวลาปกติจำนวนแรงงานก็เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ยิ่งในกรณีที่องค์การขยายตัวอยู่เรื่อย ๆ ความต้องการกำลังคนก็ยิ่งมีมากขึ้น ลักษณะของกำลังคนที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 อย่างคือ ประการแรกการหมุนเวียนการเข้าออกของคนงาน ได้แก่ การลาออก ไล่ออก หรืออายุครบตามสัญญาจ้างแรงงาน ประการที่สอง ขึ้นอยู่กับลักษณะงานที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนทำให้จำเป็นต้องใช้คนงานใหม่เข้ามาทำงาน เช่น ในกรณีที่มีความก้าวหน้าใหม่ ๆ ทางด้านการผลิต ทำให้ต้องการผู้ที่มีความรู้ในสาขาอื่น ๆ ซึ่งคนงานในปัจจุบันไม่มีและไม่เหมาะสมทำให้ต้องรับคนใหม่เข้ามา และประการสุดท้าย ขึ้นอยู่กับอัตราการเจริญเติบโตขององค์กรเช่น การขยายการผลิต การตลาด การบุกเบิกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ซึ่งต้องการกำลังงานเพิ่มเติมเพื่อให้ทันความต้องการของตลาด